แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 1 – 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ปิศาจแดง กำลังมุ่งหน้าสู่กรุงคาร์ดิฟฟ์ หลังจากการบุกไปเยือนแบล็คเบิร์น ในนัดแรกของรอบรองชนะเลิศ คาร์ลิ่ง คัพ จบลงด้วยผลเสมอกัน 1-1
นัดชิงชนะเลิศ คาร์ลิ่ง คัพ ที่สนามมิลเลนเนี่ยม สเตเดี้ยม กรุงคาร์ดิฟฟ์ ในวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ยังคงอยู่ในเส้นทางของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากบุกไปเสมอกับแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 1-1 ในรอบรองชนะเลิศ นัดแรก ที่สนามอีวูด พาร์ค เมื่อวันพุธ
หลุยส์ ซาฮา ทำประตูให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขึ้นนำไปก่อนเมื่อเวลาผ่านไปได้ครึ่งชัวโมง แต่มอร์เท่น แกมส์ท พีเดอร์เซ่น ตามมาตีเสมอให้กับแบล็คเบิร์น ได้ในอีก 5 นาทีถัดมา
ผลการแข่งขันในนัดนี้ทำให้ทั้งคู่ยังมีโอกาส แต่จากความได้เปรียบในการเป็นเจ้าบ้านในนัดที่ 2 ทำให้แน่นอนว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องดูมีโอกาสมากกว่าในการที่จะได้เข้าไปชิงชนะเลิศ
มันง่ายที่จะเข้าใจได้ว่าเรามุ่งมั่นเต็มที่กับคาร์ลิ่ง คัพ เนื่องจากรายชื่อผู้เล่นที่ประกาศออกมาถือว่าเป็นนักเตะตัวจริงอย่างชัดเจน แน่นอนว่ามาร์ค ฮิวจ์ส ผู้จัดการทีมแบล็คเบิร์น คงจะส่งนักเตะชุดที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาลงเล่นในนัดนี้ แต่ก่อนเกมยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่านักเตะคนใดจะได้สวมเสื้อปิศาจแดง ลงเล่นให้กับแมนเชสเตร์ ยูไนเต็ด ท้ายที่สุดแล้วก็กลายเป็นทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะตัวหลักที่ได้ลงทำหน้าที่ในสนามอีวูด พาร์ค
ฮิวจ์ส อดีตฮีโร่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปลี่ยนแปลงทีมแบล็คเบิร์น 5 ตำแหน่งจากชุดที่เขี่ยควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ตกรอบเอฟเอ คัพ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่นักเตะคนหนึ่งที่ยังยึดตำแหน่งได้อยู่คือร็อบบี้ ซาเวจ ซึ่งแฟนบอลของปิศาจแดง จะจำเขาได้เสมอในฐานะนักเตะของ ‘ทีมในฝัน’ ของสโมสรในปี 1992 ที่คว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ ได้สำเร็จหลังจากรอคอยมานาน 28 ปี
เส้นทางของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการมาถึงรอบรองชนะเลิศ ต้องผ่านด่านของบาร์เน็ต, เวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน และเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในขณะที่แบล็คเบิร์น ผ่านเข้ามาได้โดยการเอาชนะฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์, ลีดส์ ยูไนเต็ด, ชาร์ลตัน แอธเลติก และมิดเดิ้ลสโบรซ์
ก่อนลงเล่นในนัดนี้ แบล็คเบิร์น ชนะมา 5 นัดรวดนับตั้งแต่เขี่ยมิดเดิ้ลสโบรซ์ ตกรอบคาร์ลิ่ง คัพ ที่สนามริเวอร์ไซด์ ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงคริสต์มาส และพวกเขามีผลงานลงเล่นในบ้านที่น่าประทับใจมากโดยชนะ 9 นัดจาก 12 นัดที่ลงเล่นในบ้านในทุกรายการ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องการกลับมาทำประตูให้ได้อีกครั้งหลังจากทำประตูไม่ได้มา 2 นัดติดต่อกันในเกมที่พบกับอาร์เซน่อล และเบอร์ตัน อัลเบี้ยน น่าแปลกที่มีเพียงลิเวอร์พูล เท่านั้นที่หยุดการทำประตูของปิศาจแดง เอาไว้ได้ก่อนที่จะมาทำประตูไม่ได้อีกใน 2 นัดดังกล่าว
นี่เป็นครั้งที่ 2 ใน 3 ฤดูกาลที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับแบล็คเบิร์น ในรอบรองชนะเลิศ ลีก คัพ โดยในฤดูกาล 2002/03 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศได้ด้วยประตูรวม 4-2 หลังจากในนัดแรกที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด จบลงด้วยผลเสมอกัน 1-1
แฟนบอลเข้ามาชมเกมนัดนี้ในสนามอีวูด พาร์ค ค่อนข้างน้อยเมื่อเกมเริ่มต้นขึ้นโดยปิศาจแดง เป็นฝ่ายตั้งรับก่อน มีแฟนบอลประมาณ 6,000 คนเดินทางตามมาเชียร์ด้วย
เพียงไม่ถึง 30 วินาทีหลังจากร็อบ สไตลส์ เป่านกหวีดเริ่มต้นการแข่งขันก็มีเหตุการณ์สำคัญครั้งแรกของเกมเกิดขึ้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืนนิ่งกันหมด และพวกเขาเกือบจะต้องเสียประตูไปก่อนอย่างรวดเร็วถ้าลูกยิงระยะ 6 หลาของซาเวจ โดยการเปิดจากฝั่งซ้ายเข้ากลางของเดวิด เบนท์ลี่ย์ ไม่ไปติดตัวเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ มันเป็นการเตือนตั้งแต่ต้นจากทีมที่กำลังเข้าฟอร์มของ ‘สปาร์กี้’
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โต้ตอบในอีกไม่กี่นาทีถัดมา เมื่อคริสเตียโน่ โรนัลโด้ กระชากบอลขึ้นมาทางปีกขวาก่อนที่จะเปิดกลับไปให้กับเวย์น รูนี่ย์ ที่วิ่งสอดขึ้นมาหน้าประตูและดูเหมือนบอลจะเข้าทางปืนพอดี แต่เขากลับวอลเล่ย์โดนไม่ดีทำให้บอลลอยข้ามคานออกไป
เบลลามี่ ได้โอกาสงามในการทำประตูตรงกรอบเขตโทษของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากรับบอลมาจากเบนท์ลี่ย์ แต่อดีตนักเตะของนิวคาสเซิล กลับวอลเล่ย์ออกหลังไป
ลูคัส นีลล์ กองหลังของแบล็คเบิร์น รอดพ้นการได้รับใบเหลืองในนาทีที่ 23 หลังจากเข้าสกัดไม่ดีใส่รูนี่ย์ โดยร็อบ สไตลส์ ผู้ตัดสินยืนอยู่ในตำแหน่งที่เห็นเหตุการณ์พอดีแต่เขาแค่ตักเตือนเท่านั้น
และแล้วแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ทำประตูขึ้นนำจนได้เมื่อเกมผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมงพอดี ไรอัน กิ๊กส์ ได้บอลที่กลางสนามก่อนที่จะพาบอลลุยขึ้นหน้า แล้วรอจังหวะไหลบอลทะลุช่องอย่างสวยงามให้กับหลุยส์ ซาฮา อดีตดาวยิงของฟูแล่ม หลุดไปซัดเต็มข้อด้วยเท้าขวา บอลพุ่งเรียดผ่านมือของแบรด ฟรีเดล เข้าไปตุงตาข่าย ปิศาจแดง ขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 30
แฟนบอลของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ส่งเสียงเฮลั่นแต่ก็ฉลองได้ไม่นานเมื่อแบล็คเบิร์น ทำประตูตีเสมอได้ทันควัน มอร์เท่น แกมส์ท พีเดอร์เซ่น ที่เคยทำทั้ง 2 ประตูให้กับแบล็คเบิร์น ในเกมพรีเมียร์ชิพที่เอาชนะปิศาจแดง 2-1 ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด กลายเป็นผู้ทำประตูอีกแล้วจากลูกยิงด้วยเท้าขวาผ่านมือฟาน เดอร์ ซาร์ เสียบมุมบนอย่างงดงาม แบล็คเบิร์น ตามมาตีเสมอเป็น 1-1 ในนาทีที่ 35
เกมต้องหยุดลงไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเมื่อผ่านพ้นครึ่งชั่วโมงไปได้ไม่นานเนื่องจากมีเหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้น อลัน สมิธ พุ่งเข้าไปเสียบซาเวจ ล้มลง แล้วรูนี่ย์ ตามเข้ามาแย่งบอลอีกคนแต่ถูกซาเวจ เหนี่ยวคอเอาไว้ ทำให้รูนี่ย์ แสดงอาการฮึดฮัดก่อนที่ร็อบ สไตลส์ ผู้ตัดสินจะเข้าไปห้ามปรามไม่ให้เหตุการณ์บานปลาย ซาเวจ ได้โอกาสจึงแกล้งเจ็บ หลังจากเหตุการณ์คลี่คลาย สมิธ และรูนี่ย์ รวมทั้งซาเวจ ได้รับใบเหลืองไปคนละใบ
เกมเริ่มดุเดือดมากขึ้นก่อนที่จะหมดครึ่งแรกไป โดยทั้งคู่ยังเสมอกันอยู่ 1-1
เริ่มต้นครึ่งหลังได้ไม่นาน เชฟกี้ กูกี้ อดีตกองหน้าของสต๊อคพอร์ต เคาน์ตี้ น่าจะทำประตูได้ เมื่อพีเดอร์เซ่น เปิดบอลให้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ลูกยิงของเขาพุ่งออกข้างเสาไป
รูนี่ย์ เกือบจะทำประตูให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ในครึ่งหลังซึ่งเล่นกันได้อย่างสูสี แต่โอกาสที่ชัดเจนมีไม่มากนัก โดยแฟนบอลของทั้ง 2 ทีมต่างก็ส่งเสียงเชียร์กันอย่างเต็มที่
หลังจากนั้น ตูกาย (ทำฟาวล์โรนัลโด้) และซาฮา (เตะบอลทิ้งหลังจากมีเสียงนกหวีดดังขึ้น) ก็ได้รับใบเหลืองไปคนละใบ แต่ในครึ่งหลังไม่มีการเข้าสกัดรุนแรงเหมือนในครึ่งแรก
สมิธ ต้องออกไปปฐมพยาบาลหลังจากศีรษะแตกในจังหวะที่เข้าไปปะทะกันแล้วไปโดนศอกของฟรีเดล เข้าไปที่กลางศีรษะ
ในช่วง 8 นาทีสุดท้าย ซาฮา ถูกเปลี่ยนตัวออกแทนที่ด้วยรุด ฟาน นิสเตลรอย โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พยายามทำประตูที่ 2 ให้ได้แต่ไม่สำเร็จ หมดเวลาการแข่งขัน ทั้งคู่จึงเสมอกันไป 1-1 ต้องไปลุ้นกันต่อในนัดที่ 2 ที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด (บรรยายเกมโดย DaKinG)
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
แบรด ฟรีเดล 1
ไมเคิล เกรย์ 33
ลูคัส นีลล์ 2
ไรอัน เนลเซ่น 6
แอนดี้ ทอดด์ 4
เดวิด เบนท์ลี่ย์ 29
มอร์เท่น แกมส์ท พีเดอร์เซ่น 12 ( น. 35)
ร็อบบี้ ซาเวจ 8 ( น. 39)
เคริโมกลู ตูกาย 16 ( น. 63)
เคร็ก เบลลามี่ 11 ( น. 33)
เชฟกี้ กูกี้ 9
สำรอง
ปีเตอร์ อังเคิลแมน 13
ซูราบ คิซานิชวิรี่ 3
เบร็ตต์ เอเมอร์ตัน 7 น. 76 เดวิด เบนท์ลี่ย์ 29
สตีเว่น รีด 14 น. 76 เคริโมกลู ตูกาย 16
พอล ดิ๊กคอฟ 10 ( น. 90) น. 84 เชฟกี้ กูกี้ 9
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 19
เวส บราวน์ 6
ริโอ เฟอร์ดินานด์ 5
แกรี่ เนวิลล์ 2
มิเกล ซิลแวสตร์ 27
ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 24
ไรอัน กิ๊กส์ 11
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 7
เวย์น รูนี่ย์ 8 ( น. 38)
หลุยส์ ซาฮา 9 ( น. 30)( น. 70)
อลัน สมิธ 14 ( น. 38)
สำรอง
ทิม โฮเวิร์ด 1
ฟิลลิป บาร์ดสลี่ย์ 26
จอห์น โอเชีย 22 ( น. 89) น. 85 ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 24
จูเซ็ปเป้ รอสซี่ 42
รุด ฟาน นิสเตลรอย 10 น. 82 หลุยส์ ซาฮา 9
สถิติของเกม
แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ยิงประตู 8 ครั้ง ตรงกรอบ 4, ฟาวล์ 19, เตะมุม 3, ล้ำหน้า 1, ใบเหลือง 4, การครองบอล 48%
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงประตู 10 ครั้ง ตรงกรอบ 6, ฟาวล์ 16, เตะมุม 3, ล้ำหน้า 1, ใบเหลือง 4, การครองบอล 52%
คะแนนความสามารถ
แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส แบรด ฟรีเดล 7, ลูคัส นีลล์ 7, แอนดี้ ทอดด์ 6, ไรอัน เนลเซ่น 6, ไมเคิล เกรย์ 7, เดวิด เบนท์ลี่ย์ 6, ร็อบบี้ ซาเวจ 6, เคริโมกลู ตูกาย 7, มอร์เท่น แกมส์ท พีเดอร์เซ่น 8, เชฟกี้ กูกี้ 6, เคร็ก เบลลามี่ 8, เบร็ตต์ เอเมอร์ตัน (สำรอง) 6, สตีเว่น รีด (สำรอง) 6, พอล ดิ๊กคอฟ (สำรอง) 6
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ 7, แกรี่ เนวิลล์ 6, เวส บราวน์ 7, ริโอ เฟอร์ดินานด์ 6, มิเกล ซิลแวสตร์ 6, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ 6, อลัน สมิธ 7, ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ 7, ไรอัน กิ๊กส์ 8, เวย์น รูนี่ย์ 8, หลุยส์ ซาฮา 8, จอห์น โอเชีย (สำรอง) 6, รุด ฟาน นิสเตลรอย (สำรอง) 6
แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไรอัน กิ๊กส์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
Por